เทรดเดอร์สถาบันยังคงใช้หลักการของ Wyckoff อยู่ แต่ในกรอบเวลาที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญอาจเปิดสถานะ short เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในช่วงราคาสูงสุดของช่วงกว้าง (wide range top) โดยซ่อนการออกจากตลาดด้วยอัลกอริทึมภูเขาน้ำแข็ง (algorithmic icebergs) ในขณะที่เทรดเดอร์รายย่อยที่เทรดแบบสวิงอาจทำเพียงแค่เปิดสถานะ short ทันทีเมื่อราคาเริ่มทรุดตัว (initial breakdown) หลังการดีดตัวขึ้นปลอม ๆ (up-thrust) เมื่อรู้ว่าทั้งสองฝ่ายถูกควบคุมโดยกฎอุปสงค์และอุปทานเดียวกัน แต่ในระดับที่ต่างกัน เทรดเดอร์รายย่อยจะสามารถหลบเลี่ยงช่วงแจกจ่าย (distribution) ของผู้เล่นรายใหญ่ และรอเทรดในช่วงราคาลง (markdown) ถัดไปแทน
จุดที่น่าสนใจที่สุดของกลยุทธ์ Wyckoff ในโลกการเทรดยุคปัจจุบันคือ การเน้นเรื่องปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นพารามิเตอร์ที่ออสซิลเลเตอร์ยอดนิยมหลายตัวมักมองข้าม และปริมาณการซื้อขายมักเผยให้เห็นความสนใจที่ซ่อนอยู่ได้ล่วงหน้านานก่อนที่สัญญาณตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะปรากฎ หรือก่อนที่การแจ้งเตือนถึงไดเวอร์เจนซ์ของ RSI จะเกิดขึ้น
ด้วยความที่กลยุทธ์ Wyckoff มีประโยชน์อย่างมาก ซอฟต์แวร์สร้างกราฟขั้นสูงส่วนใหญ่จึงมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำกลยุทธ์นี้ไปใช้งานได้จริง หลายแพลตฟอร์มมีสคริปต์อัตโนมัติที่สามารถติดป้ายระบุช่วงต่าง ๆ ของตลาดได้โดยอัตโนมัติเพื่อช่วยให้เทรดเดอร์ได้โฟกัสเฉพาะที่การจัดการความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น TradingView มีตัวบ่งชี้ที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจำลองชุดเครื่องมือวิเคราะห์ Wyckoff ได้อย่างครบถ้วน
ตัวบ่งชี้ Auto Wyckoff Schematic จะทำการติดป้ายระบุสัญญาณต่าง ๆ อย่าง springs (จุดที่ราคาลงต่ำกว่าช่วงสะสมแล้วดีดตัวกลับขึ้น), up-thrusts (จุดที่ราคาพุ่งสูงเกินช่วงแจกจ่ายแล้วร่วงลง) และ sign-of-weakness bars (แท่งราคาที่แสดงสัญญาณความอ่อนแอของแนวโน้ม) ทันทีที่เกิดขึ้น
การเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังแบบรายวัน (historical intraday data) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทดสอบย้อนหลังกฎการจดจำรูปแบบต่าง ๆ ที่ Wyckoff เคยสาธิตด้วยตัวอย่างเพียงไม่กี่รายการที่คัดสรรมาอย่างดี
การเปรียบเทียบกับวิธีการเทรดอื่น ๆ
Wyckoff เทียบกับกลยุทธ์ที่ใช้ตัวบ่งชี้
ตัวชี้วัดทางเทคนิคแบบดั้งเดิมอย่าง RSI หรือ MACD ให้สัญญาณการซื้อขายที่แม่นยำจากสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ ขณะที่วิธี Wyckoff ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบตลาดแบบประเมินตามสถานการณ์เป็นหลัก
ตัวบ่งชี้อาจส่งสัญญาณภาวะตลาดซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) โดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับที่กำหนด และเทรดเดอร์ที่ใช้วิธี Wyckoff จะประเมินว่าการเคลื่อนไหวของราคาเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงสะสม (accumulation) หรือช่วงแจกจาย (distribution)
ตัวอย่าง
เทรดเดอร์ Wyckoff สังเกตว่า RSI อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป แทนที่จะขายทันทีเพียงเพราะสัญญาณนี้ เทรดเดอร์จะมองหาการยืนยันว่าแนวโน้มกำลังกลับตัวจริง ๆ เช่น ราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่แต่ปริมาณการซื้อขายลดลง ( bearish divergence ที่บ่งชี้ถึงช่วงแจกจ่าย) ซึ่งทำให้เกิดแนวทางที่ครอบคลุมและอิงตามบริบทมากขึ้น
Wyckoff vs. พฤติกรรมของราคา (price action)
การเทรดพฤติกรรมราคาจะเน้นที่รูปแบบกราฟ และระดับแนวรับ-แนวต้าน โดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของราคา ส่วนวิธี Wyckoff จะเติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยการเชื่อมโยงรูปแบบราคากับการกระทำของนักลงทุนรายใหญ่ (smart money) และให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขายเป็นหลัก
ตัวอย่าง
เทรดเดอร์ที่เทรดพฤติกรรมราคาจะมองไปที่กรอบเคลื่อนที่ในแนวข้างของราคา (sideways) ที่จุดสูงสุดของตลาด แล้วบอกว่ามันเป็นการสะสมราคา (consolidation) แต่เทรดเดอร์ที่ใช้วิธี Wyckoff จะมองหาหลักฐานของช่วงแจกจ่าย (distribution) ภายในกรอบราคาดังกล่าว นอกจากนี้ Wyckoff ยังวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับการเคลื่อนไหวของราคา ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า การพุ่งทะลุ (breakout) จะล้มเหลวหรือสำเร็จ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เลยถ้าคุณใช้เพียงพฤติกรรมราคาเพียงอย่างเดียว